การแปรอักษรได้เกิดขึ้นบนแผ่นดินไทยมานานนับสิบ ๆ ปีมาแล้ว ด้วยความสามารถและมันสมองของคนไทยแท้ ๆ มีการนำผลงานแสดงต่อสาธารณชนหลายครั้ง เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของผู้ที่ได้ชมเป็นอันมาก เป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในวงการเชียร์กีฬา และได้มีการพัฒนามาเป็นลำดับ โดยเฉพาะการแปรอักษรของโรงเรียนอัสสัมชัญ พอที่จะสรุปออกมาได้เป็น 3 ยุค คือ
ยุคที่ 1 :ยุคริเริ่มการแปรอักษรครั้งแรกในประเทศไทย
ท่านผู้ริเริ่มหรือผู้บุกเบิกการแปรอักษรขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย คือ มาสเตอร์เฉิด สุดารา ซึ่งนักเรียนเก่าเป็นจำนวนมากรู้จักท่านดี เพราะสอนอยู่ในโรงเรียนอัสสัมชัญมาเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นครูที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับนักเรียนอยู่บ่อย ๆ นอกเหนือจากการสอนแล้ว มาสเตอร์ยังเป็นผู้ดูแลเรื่องฟุตบอลของโรงเรียน ร่วมกับ มาสเตอร์สมศักดิ์ สุวรรณาภิรมย์ อีกด้วย มาสเตอร์มีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะโดยธรรมชาติอยู่แล้ว ยิ่งมาได้รับการถ่ายทอดวิชาวาดเขียนจาก ภราดาโฮเซ่ วิชา Perspective จาก ภราดาอามาโด และวิชาพิมพ์ดีดจาก ภราดาโรเกชั่น ด้วยแล้ว ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้แก่มาสเตอร์และเพิ่มความมั่นใจมากยิ่งขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้มาสเตอร์ได้รับความสำเร็จในเวลาต่อมา
ปี พ.ศ. 2485 มีการแปรอักษรเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการแข่งขันฟุตบอลรุ่นกลางชิงชนะเลิศระหว่างทีมโรงเรียนอัสสัมชัญกับทีมโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ความเป็นผู้มีพรสวรรค์ในทางศิลปะ ทำให้มาสเตอร์สามารถมองสิ่งต่าง ๆ ออกมาไม่เหมือนคนอื่น ๆ และนี้ก็คือต้นเหตุของการเกิดความคิดในการแปรอักษรขึ้น ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงแห่งสงคราม ผ้าหายากมาก เสื้อที่ใส่กันส่วนมากจึงมีอยู่ไม่กี่สี วันหนึ่ง มาสเตอร์สังเกตเห็นคนกลุ่มหนึ่ง แต่งตัวด้วยเสื้อสีฟ้านั่งกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ จึงเกิดความคิดว่า ถ้านำเอาคนที่แต่งตัวเหมือน ๆ กัน มานั่งเป็นกลุ่มและจัดให้เป็นสัญลักษณ์อะไรก็คงจะทำได้ เวลานั้นโรงเรียนอัสสัมชัญมีการแต่งกายของนักเรียนอยู่ 2 แบบ คือ พวกเป็น “ยุวชนทหาร” จะแต่งเครื่องแบบยุวชนทหาร ส่วนพวกที่ไม่เป็นยุวชนทหารก็จะแต่งตัวด้วย “เสื้อราชประแตนสีขาว” และใส่หมวกกะโล่สีขาวด้วย มาสเตอร์จึงได้จัดตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการนำเอานักเรียนที่แต่งสีขาวไปรวมกันไว้ตอนบนของอัฒจันทร์ก่อน แล้วนำนักเรียนลงมาทีละกลุ่ม ค่อย ๆ จัดให้นั่งเรียงกันขึ้นเป็นตัวอักษร “อสช” แล้วจึงให้พวกแต่งยุวชนทหารเข้านั่งในที่ว่างให้เต็มจึงทำให้ออกมาเป็นตัวอักษร “อสช” ที่สวยและชัดมาก
ในเวลาต่อมา ก็ยังไม่มีโรงเรียนอื่นจัดทำเรื่องการแปรอักษร เมื่อเครื่องแบบนักเรียนเปลี่ยนไปเป็นสีขาว กางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน การแปรอักษรจึงจัดโดยการให้นักเรียนที่นั่งเป็นตัวอักษรใส่เสื้อยืดสีแดงสน และได้เริ่มมีการแปรอักษรมากกว่า 1 ตัว โดยทำเป็นตัวอักษร “AC และ อสช” ปี พ.ศ. 2489 มีการแข่งขันชิงชนะเลิศฟุตบอลรุ่นกลางระหว่าง โรงเรียนอัสสัมชัญ กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน ตอนนั้นเสื้อยืดมีราคาแพงมาก โรงเรียนจึงได้จัดการแปรอักษรโดยใช้การใช้กระดาษสีแดงกลัดติดหน้าอกเสื้อนักเรียนนั่งเป็นตัวอักษร จึงทำให้ได้ตัวอักษรออกมาไม่สู้ชัดเจนนัก
วิวัฒนาการของการจัดตัวอักษรก้าวต่อไปอีก มาสเตอร์จัดให้มีการเคลื่อนไหวขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง โดยการแปรอักษร “อสช” และ “ACC”เมื่อใกล้จะจบการแข่งขัน ยังได้มีการนำผู้นั่งเป็นตัวอักษรทั้งหมดขึ้นไปยังอัฒจันทร์ชั้นสูงสุด ส่วนผู้ที่นั่งเป็นสีพื้นนั้นก็เคลื่อนที่เข้ามานั่งจนเต็ม เมื่อถึงเวลาที่ก่อนจะจบการแข่งขัน ก็จะขยับเลื่อนออกเป็นช่วงแล้วให้ผู้ใส่เสื้อที่เป็นตัวอักษร วิ่งลงมาในช่วงที่แยกออกนั้นเป็นตัวอักษร “V”(Victory)โดยนำมาจากสัญลักษณ์ชูสองนิ้วที่ท่านเชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษขณะนั้น ได้แสดงถึงชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาได้มีโรงเรียนอื่น ๆ เช่น โรงเรียนช่างกลปทุมวัน โรงเรียนศิริศาสตร์ ก็ได้จัดการแปรอักษรร่วมกัน
ปี พ.ศ. 2495 มีการแข่งขันชิงชนะเลิศฟุตบอลรุ่นเล็กระหว่างโรงเรียนอัสสัมชัญกับโรงเรียนช่างอากาศอำรุง มาสเตอร์ได้จัดการแปรอักษร โดยทำให้มีลักษณะเหมือนการเขียนตัวหนังสือ โดยให้นักเรียนที่นั่งเป็นตัวอักษรใส่เสื้อยืดสีแดง แต่เอาเสื้อนักเรียนสีขาวคลุมไว้ข้างนอก โดยปิดไม่ให้สีแดงลอดออกมา เทคนิคอยู่ที่การให้ใส่เสื้อสีขาวนั้นกลับจากหน้าไปหลัง ซึ่งนอกจากปิดได้มิดถึงคอแล้ว เวลาถอดเสื้อยังดึงออกได้ง่ายอีกด้วย เวลาเปิดตัวอักษร จะค่อย ๆ ถอดเสื้อข่าวออกไล่กันไปตามลักษณะการเขียนตัวอักษร ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนการเขียนตัวอักษรเลยทีเดียว
การแปรอักษรเป็นลักษณะที่มีรูปประกอบนอกเหนือไปจากตัวหนังสือเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2496 โดยการแข่งขันฟุตบอลชิงชนะเลิศรุ่นใหญ่ระหว่างโรงเรียนอัสสัมชัญกับโรงเรียนช่างกลปทุมวัน โดยโรงเรียนช่างกลฯ จัดเป็น “รูปเกียร์” และมีอักษร “ชก” อยู่ตรงกลาง ขณะที่โรงเรียนอัสสัมชัญจัดเป็นตัวอักษรโดยให้มีการเคลื่อนไหวแบบเขียนอยู่เช่นเดิม และการแปรอักษรในระดับโรงเรียนคงรูปแบบเดิม ๆ ต่อมาอีกเป็นเวลานาน
ยุคที่ 2 :ยุคการเปลี่ยนแปลง
เริ่มในสมัยท่านภราดาโรเบิร์ต (Bro.Robert)เป็นอธิการโรงเรียนอัสสัมชัญต่อจากท่านอธิการ โดนาเซียง (Bro. Donatien)ท่านได้มอบหมายให้ มาสเตอร์ไพโรจน์ รัศมีมารีย์ (A.C. 15535)เข้ารับช่วงงานแปรอักษรต่อจากมาสเตอร์เฉิด สุดารา ซึ่งอายุมากแล้ว เมื่อได้รับมอบหมายจากท่านอธิการแล้ว มาสเตอร์ก็ได้ปรึกษากับเพื่อนครู 4 คน มี
- มาสเตอร์ปรีชา บุญญะสิทธิ์ (A.C. 15584)
- มาสเตอร์ธรรม์ชัย เลาหะวัฒนะ (A.C. 15703)
- มาสเตอร์ธงชัย พิทักษ์ตระกูล (A.C. 16903)
- มาสเตอร์บุญรัตน์ สุขถาวร (A.C. 18936)
ได้ประชุมกันและแบ่งงานรับผิดชอบกันไป ดังนี้
- การออกแบบด้านเทคนิค และการทำตาราง designการแปรอักษรและภาพ ม.ไพโรจน์ รัศมีมารีย์และ ม.ธรรม์ชัย เลาหะวัฒนะ
- การควบคุมนักเรียน ม.ปรีชา, ม.ธงชัย, ม.บุญรัตน์ และครูประจำชั้น
- กองเชียร์ มีการให้นักเรียนมีส่วนในการเลือกตั้ง ประธานเชียร์ และ Staff เชียร์ ซึ่งกองเชียร์จะต้องร่วมมือกับหมายเลข (1) และหมายเลข (2)
- กองสวัสดิการ ให้มีการเลือกตั้ง ประธานสวัสดิการและ Staff
- ที่ปรึกษาฝ่ายศิลป์ มาสเตอร์สอนศิลปะ
กองเชียร์
กองเชียร์เป็นหน่วยงานที่สำคัญมาก เพราะจะต้องทำงานประสานกับอีกหลายฝ่ายและที่สำคัญต้องทำงานกับนักเรียนจำนวนมาก ประธานเชียร์คนแรกคือ นายวิธาน นิยมวัน หรือ มาสเตอร์วิธาน แต่ทีมเชียร์ (Staff Leader)ที่เด่นและเข้มแข็งมากเห็นจะได้แก่ Staff Cheer ปี พ.ศ. 2510 ประกอบด้วย
- ประธานเชียร์ นายทางวิทย์ ศรีอ่อน (A.C. 17591)
- รองประธานเชียร์ นายจาตุรนต์ เอมซ์บุตร (A.C. 20529)
เชียร์ลีดเดอร์
- นายศุภชัย อังคสุวรรณศิริ (A.C. 20616)
- นายเกริกชัย อุดมมงคล (A.C. 18906)
- นายจิรพรรณ อังศวานนท์ (A.C. 20586)
- นายศุภโชติ อังคสุวรรณศิริ (A.C. 21209)
- นายชัชวลิต สุนทรศร (A.C. 21225)
- นายกนต์ธีร์ กุลชน (A.C. 21992)
ที่ปรึกษา
- มาสเตอร์ไพโรจน์ รัศมีมารีย์ (A.C. 15535)
- มาสเตอร์ธรรม์ชัย เลาหะวัฒนะ (A.C. 15703)
กองเชียร์ปี 2510 นี้ ได้นำเอา “ระเบียบวินัยและลีลา” การเชียร์มาใช้ ทำให้กองเชียร์มีประสิทธิภาพสูงยิ่ง นักเรียนที่อยู่ในกองเชียร์จะถูกฝึกให้อดทน เสียสละ ฝึกให้เป็น “ผู้นำ” ที่ดี และ “ผู้ตาม” ที่ดีเช่นกัน
การปรับปรุงและการพัฒนาการแปรอักษร
การเชียร์และการแปรอักษรจะไม่ใช้เครื่องขยายเสียง แต่จะใช้วิธี “ใบ้” และใช้คำสั่งโดยเขียนป้ายให้นักเรียนอ่านและปฏิบัติตาม จากเทคนิคการถอดเสื้อ ก็มาเป็น Code 1 : 1 ก็มาใช้กระดาษสีเพิ่มขึ้น เป็นผ้าสีต่าง ๆ แล้วก็นำไปใช้กระดาษพลิก ๆ หน้าเป็น “AC” พลิกอีกทีเป็น “อสช” และที่สำคัญมี Code พลิกจาก 4 มุมและตรงกลาง 4 จุด เสร็จแล้วก็จะบรรจบกันพอดี ซึ่ง Code พลิกเหล่านี้จะถ่ายอดไปให้นักเรียนใน Staff Cheer ทุกรุ่น จาก 1 : 1 เป็น 1 : 4 เป็น 1 : 9 เป็น 1 :16 เป็น 1 :64 เป็น 1 :100 และอัสสัมชัญเคยใช้ถึง 1 :576 (Code 1 : 30 ใช้เฉพาะงาน PATA ที่สนามกีฬาทัพบก) สำหรับ Code เก้ารัชกาลและ Code พระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งเมื่อแปรภาพออกมาแล้ว จะดูเหมือนเป็นภาพวาด และสิ่งนี้หรือศิลปะและ Mosaic นี้ ก็คือการ Scan ภาพใน Computer โดยใช้ Scanner นั่นเอง... โดยการพัฒนา Code 1 : 1 เป็น Code ปรบมือ ซึ่ง Code ปรบมือของอัสสัมชัญใช้ Code ปรบมือ 4 จังหวะ และปรับเป็นไฟกระพริบคล้ายบน Score Boardหรือ ปรบมือแบบ Medley สวยงามมาก ยังมี Code สามมิติ โดยใช้แว่นตาข้างหนึ่งสีแดง อีกข้างหนึ่งสีฟ้า โดยมี นายบวร ยสินทร (A.C. 22423)เป็นผู้ design code 3 มิตินี้ แต่ไม่ได้รับความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะการประชาสัมพันธ์ไม่ดี และผู้ชมก็ใช้แว่นไม่ถูกต้อง แต่ก็นับว่าเป็นก้าวเดินต่อไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว
การเล่นเทคนิคต่าง ๆ บนอัฒจันทร์แปรอักษร เริ่มมี Micky Mouse กรอกตาไปมาได้ มังกรเลื้อย พายเรือสุพรรณหงส์ และเรืออนันตนาคราชบนอัฒจันทร์ การใช้ไฟฉาย กระดาษแก้วสีต่าง ๆ ตลอดจนกระจกสะท้อนแสง ดอกไม้ไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ดังมาก ก็คือ การแปรภาพรับเสด็จ “สมเด็จพระสันตปาปา จอห์นปอลที่ 2” ที่เสด็จเยือนประเทศไทยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2427 เพราะได้ใช้ Code ใบ้ และได้แปรภาพตามพิธีมหาบูชามิสซากลางสนามตลอด ผู้ชมชาวต่างประเทศปรบมือให้แต่ชาวคาทอลิกไทยจะไม่ปรบมือ เพราะอยู่ในขณะร่วมพิธีมหาบูชามิสซานั่นเอง ผู้ที่นั่งรถผ่านไปตามถนนจะสังเกตตามสี่แยกต่าง ๆ ภาพที่สามารถเปลี่ยนไปได้ 3 ลักษณะ โดยการทำ Plate 3 เหลี่ยม โดยยิงภาพใช้แสงเลเซอร์ (Laser) ซึ่งจะต่างออกไปจากแบบ Mosaic มี มิสวารุณี ดำรงชัยธนา (เสถียรโชค) ประจำศูนย์ Computer ได้ช่วย Save ภาพที่ Designers ออกแบบไว้ในแผ่นดิสก์
ยุคที่ 3 : ยุคปัจจุบัน (ยุคไฮเท็ค)
ปี พ.ศ. 2532 เมื่อ มาสเตอร์ถิรวัฒน์ (สุรศักดิ์) ขำสิน ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาฝ่ายการเชียร์และการแปรอักษร ได้คิดที่จะใช้คอมพิวเตอร์ในขณะนั้นมาช่วยลงโค้ดการแปรอักษร โดยใช้วิธีกำหนดตัวเลขแทนสีลงในช่วงของโค้ดบุคคลในแต่ละแผ่นและได้มอบหมายให้ อาจารย์เจริญศักดิ์ ฮั่นตระกูล คิดค้นต่อจนเป็นผลสำเร็จ และ การลงโค้ดโดยคอมพิวเตอร์ใช้ในการแปรอักษรเป็น โรงเรียนแรก และใช้คอมพิวเตอร์ลงโค้ดร่วมกับอีก 3 โรงเรียน ในการแปรอักษรฟุตบอล “จตุรมิตร” ประกอบด้วย โรงเรียนอัสสัมชัญ, โรงเรียนสวนกุหลาบ, โรงเรียนเทพศิรินทร์ และโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เป็นผลสำเร็จโดยที่โค้ดไม่มีผิดพลาดเลย “ใบโค้ดบุคคล” ต้องออกแบบพิเศษ พิมพ์โดยใช้กระดาษต่อเนื่องโดยโรงพิมพ์เหรียญบุญการพิมพ์ ซึ่งคุณสมชาย แทนประเสริฐสุข (A.C. 24561)เป็นผู้จัดพิมพ์ให้ฟรี ซึ่งประธานเชียร์ของแต่ละโรงเรียนต่างนำเอาโค้ดที่แต่ละโรงเรียนวาดภาพโค้ดร่วมกัน แล้วให้โรงเรียนอัสสัมชัญคงโค้ดให้นั้นไปซักซ้อมกับนักเรียนของตนต่อไป นับเป็นการร่วมมือในการแปรอักษรที่จริงจังและจริงใจของ “ชาวจตุรมิตร” อย่างแท้จริง ใบโค้ดคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนอัสสัมชัญจึงดังลั่นสนามศุภชลาศัย เมื่อเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2532 เป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นความภาคภูมิใจของชาวอัสสัมชัญอีกครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเชียร์และการแปรอักษร
ต่อมามาสเตอร์ถิรวัฒน์ ขำสิน ได้นำเอาเพลทมาทำขาตั้ง โดยได้รับความอุปการะจากบริษัทโรยัลเพลซ จัดทำให้ 1,500 อัน โดยไม่คิดมูลค่าใด ๆ และโรงพิมพ์เหรียญบุญการพิมพ์ได้จัดพิมพ์สมุดสีให้อีก 70,000 เล่ม โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น และสิ่งที่ต้องแก้ไขและมักจะเป็นปัญหาเสมอคือ “ห่วง” สำหรับคล้องสมุดสีที่ต้องติดกับเพลทเหล็กนั้น ลองผิดลองถูกจนได้อัสสัมชนิกที่มีโรงงานทำห่วงเหล็กรับทำให้ แข่งกับเวลาจนประสบความสำเร็จ นอกจากนั้น อีลาสติก ยังได้รับการอนุเคราะห์จากบริษัทซิปวีนัสบริจาคให้อีก จึงทำให้อุปกรณ์การแปรอักษรครั้งแรกแทบไม่ต้องเสียเงินเลย นี่คือน้ำใจจาก “อัสสัมชนิก” ที่ให้ความอนุเคราะห์กับโรงเรียนอย่างแท้จริง
ในการแข่งขันฟุตบอล “จตุรมิตร” อีกครั้ง ทางฝ่ายการเชียร์และการแปรอักษรยังปรับปรุงภาพการแปรอักษร เทคนิคต่าง ๆ เรื่อยมา อุปกรณ์ที่ใช้มีทั้ง พัก, ร่ม, ซึ่งเรียกกันว่า “วัน-วัน” (ONE-ONE) หลากหลายสี, หมวกแดงขาว, น้ำเงินเหลืองไม้ไผ่, จักจั่นดินเผา, นกหวีด, ฝาอาเซนอล, กระป๋องนมใส่ทราย, ฝาจีบน้ำอัดลม, น้ำแข็งแกะสลัก, ไฟฉาย, ขวดน้ำกลั่น, โค้ดไฟ, กระจกเงา, เสื้อยืด, ร่างกายและหยาดเหงื่อของนักเรียน กลั่นกรองออกมาเป็นภาพได้อย่างสวยสดงดงาม ทั้งโค้ดปรบมือ ถุงมือ กระดาษสี ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การแปรอักษรแบบ “สามมิติ” ได้ถูกนำเอามาใช้ ด้วยการคิดค้นร่วมกันระหว่าง ครูที่ปรึกษาและดีไซน์เนอร์ ประธานเชียร์, รองประธานเชียร์ ในแต่ละรุ่นที่ได้ให้ความสำคัญในการแปรอักษร ทั้งงานวันคล้าย “วันสถาปนาลูกเสือไทย” ทบทวนคำสัตย์ปฏิญาณของลูกเสือในวันที่ 1 กรกฎาคม และโดยเฉพาะการแปรอักษรในพิธีชุมนุมพล “สวนสนาม” ของนักศึกษาวิชาทหาร กรมการรักษาดินแดนอย่างต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 5 ปี ตั้งแต่ปีการศึกษา 2532 จนกระทั่ง กรมการรักษาดินแดนได้มอบ “โล่” ให้ในฐานะเป็นสถานศึกษาที่ให้ความร่วมมือกับกรมการรักษาดินแดนเป็นอย่างดี และยังได้รับคัดเลือกให้เป็น “สถานศึกษาดีเด่น” อย่างต่อเนื่องมาหลายปี
โรงเรียนอัสสัมชัญได้รับใช้ประเทศชาติอย่างสมเกียรติ เมื่อได้รับเชิญให้ไปแปรอักษรในพิธีการแข่งขัน “กีฬาเฟสปิกเกมส์” (กีฬาสำหรับคนพิการ) ครั้งที่ 7 ณ สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ร่วมกับอีก 3 โรงเรียนในเครือจตุรมิตร แต่ละโรงเรียนต้องออกแบบโค้ดที่ยากที่สุดโรงเรียนละ 2 ภาพ โรงเรียนอัสสัมชัญได้รับมอบหมายให้ลงโค้ด “ภาพเชื้อพระวงศ์” ทุกพระองค์ ส่วนสัญลักษณ์เฟสปิกเกมส์คือ “แมวไทย”
งานแปรอักษรในครั้งนี้มีปัญหามากมาย เริ่มจากอัฒจันทร์ที่นั่ง แถวจะไม่ตรงเฉไปเฉมา มีประตูมาก ที่นั่งโค้งไม่เท่ากัน อาจารย์ของแต่ละโรงเรียนต้องประชุมหาทางแก้ไขเพื่อทำภาพออกมาให้ได้ แผ่นเพลตต้องทำใหม่ทั้งหมดให้มีขนาดใหญ่กว่าปกติ การออกแบบต้องนำแบบเอาอัฒจันทร์มาศึกษา แล้วจึงกำหนดภาพลงไป ภาพแต่ละภาพต้องผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการฯ และจาก ฯพณฯ บรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) และคุณกาญจนา ศิลปะอาชา จึงจะใช้แปรได้ เนื่องจากเป็นโค้ดขนาดใหญ่ใช้จำนวนนักเรียนจาก 4 สถาบันถึง 8,000 คน นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด การเดินทางไปซ้อมก็โกลาหลอลหม่านทั้งรถทั้งคน ความผิดพลาดใดที่เกิดขึ้นจะต้องได้รับการแก้ไขทันที ทุกคนเครียดและเหนื่อย การทำเพลตต้องเช็กอย่างละเอียด ต้องแก้ไขตลอดเวลาที่เกิดข้อผิดพลาด ต้องอดหลับอดนอนทั้งวันทั้งคืน ทำจนสว่างคาตา นักเรียนทั้งหมดตั้งแต่ชั้น ม.1-ม.6 และสพพ. จะร่วมมือช่วยกันทั้งโรงเรียน ไม่เคยมีปรากฏการณ์ใดที่นักเรียนและคุณครูจะร่วมมือกันอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ด้วยความจริงใจที่จะให้งานออกมาจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี อุปสรรคมีมากมายทั้งกระดาษสีพิมพ์ไม่พอ โทนสีผิด กาวไม่พอ กาวเลอะเทอะ ถูกดุ ถูกต่อว่า บางครั้งแทบหมดแรง หมดอาลัยตายอยาก น้ำตาหลายคนต้องหลั่งออกเพราะน้อยใจและเสียใจ แต่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจ ให้กำลังใจซึ่งกันและกันในการทำงานอีกครั้ง และเมื่องานได้ผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็คือความสุขใจและความภาคภูมิใจของทุกคนที่มีส่วนร่วมงาน เพื่อความยิ่งใหญ่และศักดิ์ศรีการแปรอักษรของ “อัสสัมชัญ” ตลอดไปนั่นเอง
การแปรอักษรในปัจจุบัน ได้แพร่หลายจากส่วนกลางไปยังต่างจังหวัดเกือบทั่วทุกจังหวัด การแปรอักษรนี้นับได้ว่าเป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เทคนิคและความคิดริเริ่มมาก เป็นที่น่ายินดีว่า ไทยเราไม่ได้ด้อยกว่าประเทศใดในโลกเลยในเรื่องการแปรอักษร น่าเสียดายที่การแปรอักษรในปัจจุบัน มักทุ่มไปในทางการสร้างความสวยงามและรายละเอียด จึงทำให้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง น่าจะมุ่งไปสู่การพัฒนาทางเทคนิคใหม่ ๆ ในการแปรอักษรมากกว่า อย่างไรก็ตาม การแปรอักษรทั้งหลายที่พัฒนากันจนถึงวันนี้ ได้มีจุดเริ่มต้นจากความคิดของท่านผู้หนึ่ง คือ “มาสเตอร์เฉิด สุดารา” ผู้ซึ่งเป็น บิดาแห่งการแปรอักษรของไทยนั่นเอง
เพิ่งจะรู้นะครับว่าการแปรอักษรของอัสสัมชัญมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน
ตอบลบน่าภาคภูมิใจในโรงเรียนอัสสัมของเราจริงๆ
ตอบลบชอบมากครับ
ตอบลบชอบมากครับ
ตอบลบ